มะรุม

มะรุม-moringa เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน
มะรุม-moringa เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน

มะรุม

►มะรุม (Moringa) เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง เป็นพืชยื่นต้น ใช้ใบ ยอดอ่อน ดอก และผักอ่อนรับประทาน มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา ในเขตเอเชียไมเนอร์และแอฟริกา มะรุมจัดเป็นพืชในเขตร้อน และได้นิยมมีการปลูกกันในหลายประเทศทั่วไป มะรุมเป็นพืชผักสมุนไพร ที่มีประโยชน์และสรรพคุณทางยาต่างๆ ใช้นำมารักษาโรคต่างๆ ได้หลายอย่าง สามารถนำมาประกอบ ปรุงอาหารเมนูต่างๆ ได้มากมายหลากหลายเมนู

พืชผักสมุนไพร
มะรุม : Moringa

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Moringa oleifera Lam.
วงศ์ : Moringaceae

มะรุม เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง มีลำต้นเดี่ยว ลำต้นมีลักษณะกลม เป็นพืชยื่นต้น เจริญเติบโตได้ง่ายและได้ดี มีความสูงประมาณ 4 เมตร ใบมีลักษณะรูปไข่ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีสีเขียว ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่า ออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกจะมีสีขาว ผลมะรุมเป็นฝัก มีลักษณะรูปทรงกลมเป็นฝักยาว

ต้นมะรุม เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง เป็นพืชยื่นต้น มีลำต้นเดี่ยว ลำต้นมีลักษณะกลมๆ มีสีน้ำตาล ลำต้นแข็งและเหนียว เปลือกต้นสีน้ำตาลแข็ง มีรสชาติร้อน ต้นเป็นทรงสูงโปร่ง มีความสูงประมาณ 4 เมตร

ยางมะรุม จะมีสีขาวข้น

ใบมะรุม ใบมีลักษณะรูปไข่ ฐานโคนใบมน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีก้านใบย่อย แตกออกจากแกนกลางใบ ออกเรียงสลับรูปไข่ มีสีเขียว ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนเล็กน้อยขณะที่ใบยังอ่อน ใบมีรสชาติหวานมัน ใช้ใบและยอดอ่อน นำมารับประทาน ใบแห้งทำเป็นผงเก็บไว้ได้นาน โดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง

รากมะรุม เป็นระบบรากแก้ว มีรากที่แข็งแรง กว้างขวางและหยั่งลึก รากมีลักษณะกลม จะมีรากฝอยๆ รากแก้วมีสีน้ำตาล มีกลิ่นเฉพาะตัว รสชาติเผ็ดหวานขม

ดอกมะรุม ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกจะมีสีขาว ก้านช่อดอกจะสั้น แตกกิ่งช่อดอกตรงปลาย ดอกมีรสชาติขม หวานมันเล็กน้อย ดอกมะรุมจะมีในช่วงต้นฤดูหนาว บางพันธุ์ออกดอกหลายครั้งในรอบปี

ผลมะรุม ผลเป็นฝักยาว มีลักษณะกลมยาว เปลือกสีเขียว ฝักมีความยาวประมาณ 20-50 เซนติเมตร มีส่วนคอดและส่วนมน เป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่จะเป็นสีน้ำตาล จะมีเมล็ดภายในฝัก ฝักมีรสหวาน

เมล็ดมะรุม จะอยู่ภายในฝัก จะมีหลายเมล็ด เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้ม 3 ปีก มีสีน้ำตาล

มะรุม

ประโยชน์และสรรพคุณมะรุม

ใช้ควบคุมน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ช่วยภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด จนถึง 10 ขวบ ลดการเสียชีวิต พิการ ตาบอดได้ ช่วยรักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เป็นยาปฏิชีวนะ ช่วยรักษาปอดให้แข็งแรง ช่วยรักษาโรคทางเดินของลมหายใจ ช่วยรักษาโรคปอดอักเสบ ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับท้อง แก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก ช่วยรักษาโรคพยาธิในลำไส้ ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ ช่วยรักษาโรคเก๊าท์ ช่วยรักษาโรคกระดูกอักเสบ ช่วยรักษาโรคมะเร็งในกระดูก ช่วยรักษาโรครูมาติซั่ม ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แก้โรคโพรงจมูกอักเสบ แก้หอบหืด แก้โรคภูมิแพ้
-ฝักมะรุม มีพลังงาน มีเส้นใย มีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส มีเหล็ก มีวิตามินเอ มีวิตามินบี1 มีไนอาซิน มีวิตามินซี ฝักช่วยแก้ไข้ ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยลดความดันโลหิต
-ดอก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยแก้หวัด ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยแก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับน้ำตา
-เมล็ด ช่วยแก้ปวดตามข้อ ช่วยป้องกันมะเร็ง เมล็ดช่วยเป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้บวม เมล็ดคั้นน้ำมัน ใช้น้ำมันเพื่อปรุงอาหารได้
-ราก ช่วยรักษาโรคหัวใจ แก้อาการบวม ช่วยบำรุงไฟธาตุ ช่วยรักษาโรคไขข้อ
-ใบมะรุม มีวิตามินเอ มีแคลเซียม มีธาตุเหล็ก มีวิตามินซี และมีโพแตสเซียม ยอดอ่อนใช้ช่วยถอนพิษไข้ ใบใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยลดความดันโลหิต ใช้ช่วยถอนพิษไข้ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยแก้แผลอักเสบ
-ยางมะรุม แก้ปวดฟัน ใช้ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ใช้ฆ่าเชื้อซิฟิลิส
-ต้นมะรุม ช่วยย่อยอาหาร ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยคุมกำเนิด ช่วยขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ ช่วยคุมธาตุอ่อนๆ แก้ลมอัมพาต

การปลูกและขยายพันธุ์มะรุม

มะรุมเป็นพืชสวนครัว เป็นพืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ปลูกง่าย ทนแล้งได้ดี ลงทุนน้อย ดูแลรักษาง่าย ปลูกได้ตลอดทั้งปี มะรุมที่ปลูกในช่วงฤดูฝน เจริญเติบโตได้ดี จะเจริญเติบโตได้ดีกับดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย ไม่ชอบพื้นที่น้้าท่วมขัง จะทนแล้งได้ดี พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ พันธุ์พื้นเมือง และพันธุ์อินเดีย
วิธีการปลูก 2 วิธี ใช้วิธีการเพาะเมล็ด และการปักชำ

1.วิธีการเพาะเมล็ดมะรุม การเพาะในถุงเพาะชำ จะนำถุงพลาสติก มาใส่ดินร่วนปนทราย แล้วจะนำเมล็ดมะรุม ประมาณ 1-2 เมล็ด มาใส่ฝังลงผิวดินกลบจนมิด แล้วจัดวางไว้ในที่ร่ม ที่มีแสงแดดรำไร แล้วรดน้ำทุกวัน อย่าให้แฉะจนเกินไป เมล็ดจะงอกใช้เวลา ประมาณ 10 วัน เมื่อต้นกล้าจากการเพาะเจริญเติบโต จึงคัดออกให้เหลือ 1 ต้นต่อถุง อายุได้ประมาณ 30 วัน สูงประมาณ 20 เซนติเมตร จึงนำลงปลูกในแปลง

2.วิธีการการปักชำ ใช้กิ่งปักชำ โดยเลือกกิ่งมะรุมที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป ขนาดยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ปักในถุงเพาะ หรือกระบะเพาะ ในที่ร่มมีแสงแดดรำไร รดน้้าประมาณ 10-15 วัน กิ่งปักชำจะเริ่มแตกยอดใหม่ออกมา จากนั้นคอยดูแล เพื่อให้กิ่งปักชำเจริญเติบโตและแข็งแรง เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตมี อายุได้ประมาณ 30 วัน สูงประมาณ 20 เซนติเมตร จึงนำลงปลูกในแปลง

การปลูกเพื่อการเก็บเกี่ยวใบ ใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 1 เมตร และระยะระหว่างแถว ประมาณ 1 เมตร
และปลูกเพื่อการเก็บเกี่ยวเมล็ด ใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 4 เมตร และระยะระหว่างแถวประมาณ 4 เมตร

วิธีดูแลรักษามะรุม

การดูแลมะรุมหลังการปลูก จะไม่ยุงยากมากนัก เนื่องจากมะรุมสามารถ ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี หลังปลูกลงในแปลง ให้รดน้ำทุกวัน จนกว่าเริ่มแตกใบ ประมาณ 2 เดือน หลังจากนี้ปล่อยตามธรรมชาติ ปลูกในช่วงฤดูฝน จะเจริญเติบโตได้ดี

การเก็บผลผลิตมะรุม

จะเริ่มเก็บผลผลิตเมื่อ มะรุมเริ่มโตเต็มที่ จะได้ใบที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป เมื่อปลูกมะรุมได้ประมาณ 4 เดือน หลังจากย้ายกล้าปลูกลงในแปลง จะสามารถเก็บเกี่ยวยอดอ่อนได้ การเก็บเกี่ยวใบชุดแรก เก็บได้หลังจากย้ายกล้าลงปลูกได้ ประมาณ 4 เดือน และรุ่นต่อไปจะเก็บได้ทุกๆ ประมาณ 2 เดือน โดยใช้กรรไกรตัดก้าน การเก็บฝักให้ระมัดระวังการเก็บเกี่ยว ไม่ให้ฝักร่วงลงมาแตก

วิธีเก็บรักษามะรุม

ยอดอ่อนมะรุม เป็นผักที่เหี่ยวง่ายมาก เราจะมีวิธีเก็บรักษามะรุมให้สดนานๆ คือให้นำมาห่อด้วยกระดาษ หรือผ้าขาวบาง แล้วใส่ถุงหรือกล่องพลาสติก แล้วนำไปแช่ตู้เย็น
และเราจะมีวิธีเก็บรักษายอดอ่อน เพื่อจะเก็บไว้ใช้ได้นาน นำมาล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง แล้วนำมารูดใบออกจากก้าน จากนั้นนำไปตากหรืออบให้แห้ง จะเก็บไว้ใช้ได้นาน โดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง

Be the first to comment

Leave a Reply